แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 59
1
ดอกบัวในโถแก้ว: ความหมายของดอกบัวในแตะละสี

ดอกบัวมีความหมายอันลึกซึ้งและเป็นสิริมงคลในพระพุทธศาสนา ดุจดังชีวิตที่ผุดขึ้นจากโคลนตมและเบ่งบานอย่างบริสุทธิ์เหนือผิวน้ำ แต่ละสีของดอกบัวก็มีความหมายที่เป็นนัยยะทางธรรมแตกต่างกันไป ดังนี้ค่ะ

ความหมายของดอกบัวแต่ละสีในทางพุทธศาสนา

ดอกบัวสีขาว:

ความหมาย: สื่อถึง ความบริสุทธิ์ ของจิตใจและวิญญาณ, ความสงบ, ความไร้เดียงสา และความสมบูรณ์แบบทางจิตวิญญาณ เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าและการตรัสรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง

นัยยะ: เปรียบเสมือนจิตที่ได้รับการชำระล้างจากกิเลสและมลทินทั้งปวง

ดอกบัวสีชมพู:

ความหมาย: ถือเป็น บัวที่ประเสริฐที่สุด และเป็นสัญลักษณ์แห่ง การตรัสรู้สูงสุด ของพระพุทธเจ้า มักเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์เอง ความศรัทธา ความสง่างาม และความรักที่บริสุทธิ์

นัยยะ: สื่อถึงการบรรลุธรรมอันเป็นที่สุด

ดอกบัวสีแดง:

ความหมาย: สื่อถึง ความรัก ความเมตตา กรุณา และความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น รวมถึงคุณสมบัติของหัวใจที่เปิดรับความเมตตาและกิริยาอันเป็นกุศล

นัยยะ: เน้นไปที่ด้านอารมณ์ความรู้สึกอันบริสุทธิ์และความผูกพันที่ดี

ดอกบัวสีน้ำเงิน:

ความหมาย: สื่อถึง ปัญญา ความรู้ และชัยชนะของจิตใจเหนือประสาทสัมผัส หรือวัตถุทางโลก เป็นสัญลักษณ์ของความตื่นรู้ทางปัญญา

นัยยะ: ดอกบัวสีน้ำเงินมักถูกวาดให้บานเพียงครึ่งเดียวหรือตูม แสดงถึงปัญญาที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ดอกบัวสีม่วง:

ความหมาย: สื่อถึง ความลึกลับ ทางจิตวิญญาณ, การตรัสรู้ในระดับสูง และการสอนเชิงจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง มักเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาแบบวัชรยาน (พุทธศาสนาแบบทิเบต)

นัยยะ: กลีบดอกทั้ง 8 กลีบ มักสื่อถึงมรรค 8 ในอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นทางไปสู่การดับทุกข์

ดอกบัวสีเหลือง / สีทอง:

ความหมาย: สื่อถึง ความสุข การเติบโตทางจิตวิญญาณ และการเปิดรับความคิดใหม่ๆ รวมถึงการบรรลุซึ่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

นัยยะ: เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวหน้าทางธรรมและการเข้าถึงปัญญาอันบริบูรณ์

การเลือกดอกบัวแต่ละสีเพื่อนำไปถวายพระหรือใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจึงเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาและความเข้าใจในนัยยะทางธรรมของดอกบัวแต่ละสีนั่นเองค่ะ

2
หมอออนไลน์: รากประสาทถูกกด (Spinal nerve root compression) / หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (Herniated disk)

รากประสาทถูกกด หมายถึง การที่มีสิ่งผิดปกติหรือพยาธิสภาพที่รบกวนหรือกดถูกรากประสาทของเส้นประสาทสันหลัง ถ้าเกิดที่ระดับคอ ทำให้มีอาการปวดร้าว เสียว ๆ แปลบ ๆ หรือรู้สึกชาลงมาที่แขนและมือ (ดู "กระดูกคองอกกดรากประสาท")

ถ้าเกิดที่ระดับเอว ทำให้มีการกดถูกรากประสาทไซแอติก (sciatic nerve) มีอาการปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าว เสียว ๆ แปลบ ๆ หรือรู้สึกชาลงมาที่ขา เรียกว่า อาการปวดตามประสาทขาหรือประสาทไซแอติก (sciatica) ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุได้หลายประการ ที่พบบ่อยได้แก่ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (herniated disk) และ โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ส่วนสาเหตุอื่นที่พบได้ไม่บ่อยนัก เช่น วัณโรคกระดูกสันหลัง เนื้องอกไขสันหลัง มะเร็งที่แพร่กระจายจากที่อื่น อุบัติเหตุ เป็นต้น

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน และโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ

สาเหตุ

หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน* พบได้ในช่วงอายุ 20-60 ปี แต่พบได้น้อยมากในคนอายุมากกว่า 60 ปี เกิดจากหมอนรองกระดูกที่เสื่อมตามอายุมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อเส้นใยชั้นเปลือกนอก ปล่อยให้เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนตรงกลางซึ่งมีลักษณะคล้ายวุ้นแตก (rupture) หรือเลื่อน (herniation) ออกมากดทับรากประสาท และเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบ ๆ รากประสาท ทำให้เกิดอาการของโรคนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่มีประวัติการบาดเจ็บชัดเจน อาจเกิดจากแรงกระทบเพียงเล็กน้อยจากการทำกิจวัตรประจำวัน หรือจากอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม ส่วนน้อยเกิดหลังจากได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน เล่นกีฬา อุบัติเหตุ ยกหรือเข็นของหนัก

ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือสูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากขึ้น เนื่องจากมีออกซิเจนในเลือดไปเลี้ยงหมอนรองกระดูกน้อยลง จึงเสื่อมได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือทำอาชีพที่ต้องเข็นหรือยกของหนัก ก็เสี่ยงต่อการเกิดแรงกระทบต่อหมอนรองกระดูกทำให้เกิดโรคนี้ได้มากขึ้น

โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ เริ่มพบได้ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป และพบมากในคนอายุมากกว่า 60 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากกระดูกสันหลังเสื่อมตามอายุ ทำให้ผิวข้อกระดูกสันหลังมีหินปูนหรือปุ่มงอก (osteophytes) เกาะโดยรอบ และมีการหนาตัวของเอ็นรอบ ๆ โพรงกระดูกสันหลัง (spinal canal) ทำให้มีการตีบแคบของโพรงกระดูกสันหลัง ซึ่งค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย ใช้เวลานานเป็นแรมปีหรือหลายปี จนในที่สุดเกิดการกดทับรากประสาทที่แยกออกจากไขสันหลังผ่านโพรงดังกล่าว และบีบรัดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงรากประสาททำให้เกิดอาการของโรคนี้

*หมอนรองกระดูกสันหลัง (intervertebral disk) เป็นกระดูกอ่อนที่คั่นอยู่ระหว่างข้อต่อของกระดูกสันหลังทุกข้อ ทำหน้าที่ลดแรงกระแทกต่อกระดูกสันหลัง และช่วยให้สันหลังมีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหว ประกอบด้วยเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนลักษณะคล้ายวุ้นอยู่ตรงกลาง (เรียกว่า nucleus propulsus) โดยมีเนื้อเยื่อเส้นใยห่อหุ้มอยู่ชั้นเปลือกนอก (เรียกว่า annulus fibrosus)

เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณน้ำภายในหมอนรองกระดูกจะลดลง เมื่ออายุมากกว่า 20 ปี หมอนรองกระดูกก็เริ่มเสื่อมมากขึ้นเรื่อย ๆ และเปราะง่ายขึ้น เมื่อมีแรงกระทบต่อหมอนรองกระดูก เนื้อเยื่อเส้นใยชั้นนอกมีโอกาสฉีกขาด ปล่อยให้เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่อยู่ตรงกลางแตกหรือเลื่อนออกมาข้างนอก และอาจกดถูกรากประสาทหรือไขสันหลัง แต่เมื่ออายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนจะเริ่มแข็งตัว การไหลเลื่อนออกมาข้างนอกเกิดได้น้อยลง ดังนั้น โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนจึงพบได้น้อยในคนอายุมากกว่า 60 ปี

อาการ

หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ขึ้นกับตำแหน่งของหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนและเส้นประสาทที่ถูกกด ส่วนใหญ่พบที่หมอนรองกระดูกบริเวณเอว (พบบ่อยในกลุ่มอายุ 35-45 ปี) ส่วนน้อยพบที่บริเวณคอ (พบบ่อยในกลุ่มอายุ 40-50 ปี) อาจมีอาการเกิดขึ้นฉับพลันรุนแรง หรือค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อยก็ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีประวัติเกิดอาการหลังได้รับบาดเจ็บหรือยกของหนัก แต่ส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่ามีเหตุกำเริบจากอะไร

ในรายที่หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวเคลื่อน จะมีอาการปวดตรงกระเบนเหน็บ ซึ่งจะปวดร้าว เสียว ๆ แปลบ ๆ และชาจากบริเวณแก้มก้นลงมาถึงน่องหรือปลายเท้า อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเวลามีการเคลื่อนไหว เวลาก้ม นั่ง ไอ จาม หัวเราะ หรือเบ่งถ่าย ในรายที่เป็นมากเท้าจะไม่ค่อยมีแรงและชา อาจถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ หรือกลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่อยู่

มักพบเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น นอกจากในรายที่เป็นมากอาจมีอาการทั้ง 2 ข้าง

ในรายที่หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเคลื่อน จะมีอาการปวดบริเวณต้นคอ ปวดร้าว เสียว ๆ แปลบ ๆ และชาลงมาที่ไหล่ แขน และปลายมือ

มักมีอาการเวลาแหงนคอไปด้านหลัง หรือหันศีรษะไปข้างที่เป็น ถ้าเป็นมากแขนและมืออาจมีอาการอ่อนแรง

โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ในระยะแรก ๆ จะไม่มีอาการแสดง อาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการถ่ายภาพรังสีกระดูกสันหลัง ต่อเมื่อโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบมากขึ้นจนกดทับรากประสาท จึงจะมีอาการปวดหลังและร้าวลงมาที่ขาขณะวิ่ง ยืนนาน ๆ หรือเดินไกล ๆ ในรายที่เป็นมากแม้แต่เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็จะรู้สึกปวดน่องจนต้องนั่งพัก หรือหยุดเดินสักครู่ อาการปวดจึงจะทุเลาและสามารถเดินต่อไปได้ แต่ต้องคอยหยุดพักเป็นช่วง ๆ* อาการปวดมักเป็นเพียงข้างเดียว แต่ก็อาจพบเป็นทั้ง 2 ข้าง

อาการปวดมักจะทุเลาเวลานั่งหรือก้มตัวไปข้างหน้า หรือขณะเดินขึ้นเนินหรือที่ลาด (ในท่าโน้มหรือก้มตัวไปข้างหน้า ทำให้โพรงกระดูกสันหลังขยาย ลดการกดรากประสาท แต่ในท่าแอ่นตัวไปข้างหลัง เช่น ยืนแอ่นตัวเดินลงเนินหรือที่ลาดจะทำให้โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบมากขึ้น)

บางรายอาจมีอาการเป็นตะคริวที่ขาตอนกลางคืนร่วมด้วย

ในรายที่เป็นมาก มักมีอาการเสียว ๆ แปลบ ๆ และชาจากแก้มก้นลงมาที่น่องหรือปลายเท้า เท้าอ่อนแรง ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ และอาจมีอาการเดินโคลงเคลง ทรงตัวผิดปกติ 

*อาการปวดขาในลักษณะดังกล่าว คล้ายอาการปวดขาเป็นระยะจากการขาดเลือด (intermittent claudication) ซึ่งพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะคลำพบชีพจรหลังเท้าเต้นเบากว่าปกติ ส่วนอาการปวดน่องเวลาเดินที่พบในโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบไม่ได้เกิดจากหลอดเลือดแดงขาตีบ เพียงแต่แสดงอาการคล้ายกัน จึงเรียกว่า "Pseudoclaudication" หรือ "Neurogenic intermittent claudication"


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยให้รากประสาทถูกกดรุนแรงอาจทำให้ขาชา เป็นแผลติดเชื้อง่าย กล้ามเนื้อขาลีบ ขาอ่อนแรง เดินลำบาก ถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ หรือกลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่ได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่มีการกดรากประสาทขาหรือประสาทไซแอติก สามารถทำการตรวจวินิจฉัยโดย

1. ให้ผู้ป่วยนอนหงาย แล้วจับเท้าข้างที่สงสัยค่อย ๆ ยกขึ้นโดยให้หัวเข่าเหยียดตรง จะพบว่าผู้ป่วยไม่สามารถยกเท้าเหยียดตรงได้ 90 องศาเช่นคนปกติ หรือได้น้อยกว่าเท้าอีกข้างหนึ่ง เพราะรู้สึกปวดเสียวตามหลังเท้าจนทนไม่ได้ วิธีนี้เรียกว่าการทดสอบเหยียดขาตรงตั้งฉาก (straight leg raising test/SLRT)

2. ใช้เข็มจิ้มเบา ๆ ที่หลังเท้าและน่อง ในรายที่เป็นมากจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่าอีกข้างหนึ่ง

3. ให้ผู้ป่วยออกแรงเหยียดหัวแม่เท้าขึ้นต้านแรงกดของนิ้วมือผู้ตรวจ ในรายที่เป็นมากจะพบว่ามีแรงอ่อนกว่าหัวแม่เท้าข้างที่ปกติ

4. การตรวจรีเฟล็กซ์ของข้อเข่าและข้อเท้า (tendon reflex) จะพบว่าน้อยกว่าปกติ

ในรายที่มีการกดทับรากประสาทในบริเวณคอ ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน ในระยะที่เป็นมากอาจพบกล้ามเนื้อแขนมีอาการชาและอ่อนแรง รีเฟล็กซ์ของข้อศอกและข้อมือน้อยกว่าปกติ

สำหรับโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ในระยะแรกมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ผู้ป่วยส่วนน้อยที่การทดสอบเหยียดขาตรงตั้งฉากพบว่าผิดปกติ

ในรายที่เป็นมากแล้ว ก็อาจตรวจพบอาการชาที่หลังเท้าและน่อง รีเฟล็กซ์ของข้อเข่าและข้อเท้าน้อยกว่าปกติ หัวแม่เท้าอ่อนแรง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์กระดูกสันหลัง ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ถ้าจำเป็นอาจต้องทำการถ่ายภาพรังสีไขสันหลังโดยการฉีดสารทึบรังสี (myelography)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้             

ในระยะแรก แพทย์จะให้การรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัดก่อน ได้แก่ การให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน, ไดโคลฟีแนก, นาโพรเซน) เป็นหลัก ซึ่งนอกจากช่วยบรรเทาปวดแล้ว ยังลดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบ ๆ รากประสาท ทำให้อาการทุเลาได้

ในรายที่มีอาการเกิดขึ้นฉับพลันและปวดรุนแรง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยนอนพักในท่านอนหงายบนที่นอนแข็งตลอดเวลา (ลุกเฉพาะกินอาหารและเข้าห้องน้ำ) 1-2 วัน จะช่วยให้อาการทุเลาได้เร็ว ไม่ควรนอนติดต่อนานหลายวัน อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังอ่อนแอ

บางรายแพทย์อาจให้การรักษาทางกายภาพบำบัด (เช่น ประคบด้วยความเย็นและความร้อน ใช้น้ำหนักถ่วงดึง) กระตุ้นปลายประสาทด้วยไฟฟ้า (TENS) การฝังเข็ม เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจให้ผู้ป่วยใส่ "เสื้อเหล็ก" หรือ "ปลอกคอ"

ในรายที่มีอาการปวดมาก และไม่สามารถบรรเทาด้วยยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์และยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล แพทย์อาจพิจารณาให้ยาแก้ปวดที่แรงขึ้น เช่น โคเดอีน (codeine) กาบาเพนทิน (gabapentin) เป็นต้น บางรายอาจให้เพร็ดนิโซโลน หรือฉีดสเตียรอยด์เข้าบริเวณเนื้อเยื่อรอบ ๆ รากประสาทที่อักเสบเพื่อลดการอักเสบ

ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอิริยาบถและกิจกรรมที่ทำให้อาการปวดกำเริบ บริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องตามคำแนะนำของแพทย์ ลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักจะหายปวดและกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

สำหรับหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนที่ไม่รุนแรง อาการมักจะดีขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ เนื่องจากหมอนรองกระดูกที่ไหลเลื่อนออกมาข้างนอก มักจะยุบตัวลงจนลดแรงกดต่อรากประสาทไปได้เอง

ในรายที่ให้การรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัด 3-6 เดือนแล้วไม่ได้ผล ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ หรือมีภาวะแทรกซ้อน (เช่น กล้ามเนื้อลีบหรืออ่อนแรง มีอาการชามาก ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้) ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เพื่อปลดเปลื้องการกดรากประสาท และอาจเชื่อมข้อต่อกระดูกสันหลังให้แข็งแรงในรายที่มีการเลื่อนของกระดูกสันหลัง (spondylolisthesis) การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี รวมทั้งวิธีใช้กล้องส่อง (laparoscopic surgery)

สำหรับโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ในปัจจุบันมีวิธีผ่าตัดขยายโพรงกระดูกสันหลังโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์ (microlumbar decompression) ซึ่งได้ผลดีและมีความปลอดภัยมากขึ้น

โดยทั่วไปผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดมีประมาณร้อยละ 10-20 ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้ผลดี แต่มีประมาณร้อยละ 10 ที่อาจมีอาการปวดเรื้อรังต่อไป ในรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอยู่นานก่อนผ่าตัด อาการก็อาจไม่ดีขึ้นหลังผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดหลังร่วมกับปวดร้าวลงขาแบบเสียว ๆ ชา หรือมีอาการปวดน่องเวลาเดินไปสักพัก จนต้องหยุดเดินเป็นพัก ๆ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นรากประสาทถูกกด หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน หรือโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงอิริยาบถและกิจกรรมที่ทำให้อาการปวดกำเริบ ปรับท่าทางในการทำงานและการขับรถให้เหมาะสม
    หมั่นบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องให้แข็งแรงด้วยท่าบริหารที่แพทย์แนะนำ
    ลดน้ำหนัก
    ขณะที่มีอาการปวดให้นอนหงายบนที่นอนแข็ง กินยาบรรเทาปวด และใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

1. หมั่นออกกำลังกาย (เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน) และบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องให้แข็งแรง

2. ระวังรักษาอิริยาบถ (ท่านอน ท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ) ให้ถูกต้อง

3. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เข็นของหนัก การนอนที่นอนที่นุ่มเกินไป

4. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5. ไม่สูบบุหรี่ (อาจทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็ว)

ข้อแนะนำ

1. หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนและโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ มีอาการปวดหลังและปวดร้าวลงมาที่ขาเหมือนกัน ต่างกันที่อันแรกจะพบในกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่า และมักจะปวดมากขึ้นเวลาก้มหรือนั่ง แต่อันหลังมักจะพบในผู้สูงอายุ มีอาการปวดน่องเป็นระยะเวลาเดิน และมักจะทุเลาปวดเวลาก้มหรือนั่ง การวินิจฉัยที่แน่ชัดต้องอาศัยการถ่ายภาพด้วยรังสีหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 โรคนี้มีแนวทางการรักษาเหมือนกัน และส่วนใหญ่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีไม่ผ่าตัด

2. ทั้ง 2 โรคนี้ถ้าเป็นในระยะแรกเริ่มและไม่รุนแรง การใช้ยาบรรเทาปวดและลดอักเสบ หลีกเลี่ยงอิริยาบถและกิจกรรมที่ทำให้อาการกำเริบ อาการก็มักจะหายได้ภายใน 4-6 สัปดาห์

3. ผู้ป่วยที่มีอาการแขนหรือขาชาและอ่อนแรง 1-2 ข้าง ซึ่งมีอาการค่อย ๆ เป็นมากขึ้นทีละน้อย (อาจมีอาการปวดคอหรือหลังร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) ในเวลาเป็นสัปดาห์ ๆ หรือแรมเดือน ควรตรวจสาเหตุด้วยการถ่ายภาพรังสีหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจเกิดจากเนื้องอกไขสันหลัง หรือมีก้อนมะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปอดหรือมะเร็งเต้านมแพร่กระจายไปกดถูกเส้นประสาทสันหลังก็ได้



3
การเริ่มต้นธุรกิจสร้างอาชีพ คุณอาจต้องกู้เงินเพื่อลงทุนเพื่อให้ธุรกิจของคุณเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น

การเปิดร้านอาหารเป็นความฝันของผู้ประกอบการหลายคน แนวคิดที่จะเสิร์ฟอาหารอร่อยๆต้อนรับลูกค้าและการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งนั้นน่าตื่นเต้น แต่การเริ่มต้นธุรกิจเช่นนี้มักต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ตั้งแต่การเช่าสถานที่และออกแบบตกแต่งภายใน ไปจนถึงการซื้ออุปกรณ์ครัวและวัตถุดิบ ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เป็นความคิดที่ดีเลยค่ะที่มองหา สินเชื่อลงทุนร้านอาหาร เพื่อให้ธุรกิจของคุณเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น ปัจจุบันมีสถาบันการเงินหลายแห่งที่มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SME หรือธุรกิจร้านอาหารโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ เจ้าของร้านอาหารหลายรายจึงหันมาใช้สินเชื่อธุรกิจเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ

เหตุใดจึงควรพิจารณากู้ยืมเงินสำหรับร้านอาหารของคุณ?
ร้านอาหาร ที่ลงทุนเริ่มต้นสูง
มักมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสูง คุณต้องการเงินทุนสำหรับการปรับปรุงร้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าในการทำอาหาร เฟอร์นิเจอร์ ใบอนุญาต และแม้แต่แคมเปญการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มแรก เงินกู้สามารถช่วยครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเหล่านี้ได้โดยไม่ทำให้เงินออมส่วนตัวของคุณหมดไป

การบริหารกระแสเงินสด
แม้หลังจากเปิดร้านแล้ว ร้านอาหารยังคงต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง เช่น ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน และค่าวัตถุดิบ ในช่วงไม่กี่เดือนแรก รายได้อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายเหล่านี้ การเข้าถึงสินเชื่อช่วยให้การดำเนินงานราบรื่นจนกว่ารายได้จะคงที่

ความยืดหยุ่นในการเติบโต
ด้วยเงินทุนที่เหมาะสม คุณสามารถเลือกทำเลทอง อัปเกรดอุปกรณ์ หรือออกแบบบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ร้านอาหารของคุณโดดเด่น สินเชื่อมอบความยืดหยุ่นในการลงทุนเพื่อการเติบโตระยะยาว แทนที่จะลดค่าใช้จ่าย

ประเภทของสินเชื่อที่ควรพิจารณา
สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็ก : สินเชื่อเหล่านี้เสนอโดยธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นสินเชื่อแบบดั้งเดิมที่มีเงื่อนไขการชำระคืนที่มีโครงสร้างชัดเจน
สินเชื่อของรัฐบาลหรือ SME : ในหลายประเทศ รัฐบาลสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กด้วยการจัดหาเงินทุนที่มีดอกเบี้ยต่ำ
การจัดหาเงินทุนสำหรับอุปกรณ์ : สินเชื่อเฉพาะเพื่อซื้ออุปกรณ์ในครัวและห้องรับประทานอาหาร
สินเชื่อส่วนบุคคลหรือวงเงินสินเชื่อ : สำหรับร้านอาหารขนาดเล็ก อาจเป็นทางออกที่รวดเร็วกว่า แต่โดยทั่วไปจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า

เคล็ดลับก่อนสมัครสินเชื่อ
สร้างแผนธุรกิจที่มั่นคง : ผู้ให้กู้ต้องการเห็นว่าคุณมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ตลาดเป้าหมาย และการคาดการณ์รายได้
ตรวจสอบเครดิตสกอร์ของคุณ : ประวัติทางการเงินที่ดีจะเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติ
คำนวณอย่างรอบคอบ : กู้ยืมเฉพาะจำนวนที่คุณต้องการและตรวจสอบให้แน่ใจว่าเงื่อนไขการชำระคืนเหมาะสมกับรายได้ที่คาดการณ์ไว้ของคุณ
เปรียบเทียบตัวเลือก : อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขแตกต่างกันไป เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ

การเปิดร้านอาหารต้องอาศัยความมุ่งมั่น ทุ่มเท และการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ แม้ว่าการกู้ยืมเงินอาจดูน่ากังวล แต่สินเชื่อที่เหมาะสมสามารถเป็นบันไดขั้นสำคัญที่จะทำให้ความฝันของคุณเป็นจริงได้ การมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเปิดและรักษาร้านอาหารของคุณไว้ จะช่วยให้คุณมีโอกาสสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว



4
ขั้นตอนการจัดฟันเด็กแต่ละประเภท

ขั้นตอนการจัดฟันเด็กจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเครื่องมือที่ใช้ และมักจะมีการรักษาแบบแบ่งเป็นระยะ (Phase I และ Phase II) โดยมีขั้นตอนพื้นฐานร่วมกันดังนี้:


1. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม (Preparation Phase)

ขั้นตอนนี้ใช้สำหรับเครื่องมือจัดฟันทุกประเภท:

ตรวจประเมินเบื้องต้น: ทันตแพทย์จัดฟันจะตรวจสุขภาพช่องปาก ฟัน การสบฟัน และการเจริญเติบโตของขากรรไกร

บันทึกข้อมูล: มีการถ่ายภาพรังสี (X-Ray) เพื่อดูโครงสร้างกระดูกและตำแหน่งฟันแท้ที่ยังไม่ขึ้น, การถ่ายรูปใบหน้าและฟัน, และการพิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน

วางแผนการรักษา: ทันตแพทย์จะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

เคลียร์ช่องปาก: หากพบปัญหา เช่น ฟันผุ หินปูน หรือฟันแท้ที่ขึ้นไม่ได้ตามปกติ จะต้องทำการอุดฟัน ขูดหินปูน หรือถอนฟันตามความจำเป็นก่อนเริ่มติดเครื่องมือ


2. ขั้นตอนการรักษาด้วยเครื่องมือแต่ละประเภท

🅰️ การจัดฟันด้วยเครื่องมือติดแน่น (Metal Braces / Self-Ligating Braces)
เป็นวิธีที่ใช้เครื่องมือยึดติดกับผิวฟันถาวรในช่วงการรักษา

ติดเครื่องมือ: ทันตแพทย์จะใช้กาวพิเศษติด แบร็กเก็ต (Brackets) ลงบนผิวฟันแต่ละซี่ และร้อย ลวดจัดฟัน ผ่านแบร็กเก็ต

ปรับเครื่องมือ: นัดหมายทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ทันตแพทย์เปลี่ยนลวดและยาง (สำหรับเหล็กจัดฟันปกติ) หรือปรับกลไกของแบร็กเก็ต (สำหรับระบบ Damon) เพื่อให้ฟันเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง

การดูแล: เด็กจะต้องดูแลความสะอาดอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ และระมัดระวังไม่ให้แบร็กเก็ตหลุดหรือลวดบาด


🅱️ การจัดฟันด้วยเครื่องมือแบบถอดได้ (Removable Appliances)

มักใช้ใน ระยะที่ 1 (Phase I) เพื่อแก้ไขปัญหาขากรรไกรในเด็กเล็ก

พิมพ์ปากและสร้างเครื่องมือ: หลังจากพิมพ์ปากแล้ว จะมีการสร้างเครื่องมือที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแก้ไขปัญหาโครงสร้าง เช่น เครื่องมือขยายขากรรไกร (Palatal Expander) หรือเครื่องมือปรับตำแหน่งขากรรไกร

สอนการใช้งาน: ทันตแพทย์จะสอนให้เด็กและผู้ปกครองรู้วิธีการใส่ การถอด และการปรับเครื่องมือ (เช่น การขันสกรูขยายขากรรไกร) อย่างถูกต้อง

ใส่เครื่องมือ: เด็กจะต้องใส่เครื่องมือตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ซึ่งมักจะนานหลายชั่วโมงต่อวัน หรือเฉพาะเวลานอน ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องมือและแผนการรักษา

นัดติดตามผล: นัดหมายเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของการปรับขากรรไกรเป็นระยะ


🅒 การจัดฟันแบบใส (Invisalign First)

เป็นทางเลือกสำหรับเด็กที่มีฟันชุดผสม เพื่อจัดเรียงฟันและจัดการพื้นที่

สแกนฟัน (iTero Scan): แทนการพิมพ์ปากแบบดั้งเดิม ทันตแพทย์จะใช้เครื่องสแกน 3 มิติเพื่อสร้างแบบจำลองฟันดิจิทัล

การวางแผนดิจิทัล (ClinCheck): ทันตแพทย์จะใช้ซอฟต์แวร์เพื่อวางแผนการเคลื่อนที่ของฟันและแสดงผลลัพธ์สุดท้ายให้ผู้ปกครองและเด็กดู

รับเครื่องมือ: เด็กจะได้รับชุดเครื่องมือจัดฟันใส (Aligners) หลายชุด ซึ่งต้องเปลี่ยนชุดใหม่เองตามลำดับทุก 1-2 สัปดาห์

ใส่เครื่องมือ: ต้องใส่เครื่องมือให้ครบ 20-22 ชั่วโมงต่อวัน โดยถอดออกได้เฉพาะเวลารับประทานอาหาร แปรงฟัน และเล่นกีฬา

นัดติดตามผล: นัดหมายทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อติดตามผลและรับเครื่องมือชุดถัดไป


3. ขั้นตอนการคงสภาพฟัน (Retention Phase)

ขั้นตอนนี้สำคัญที่สุดสำหรับทุกประเภทการจัดฟัน

ถอดเครื่องมือ: เมื่อฟันเคลื่อนที่เข้าสู่ตำแหน่งที่ต้องการและขากรรไกรได้รับการแก้ไขแล้ว ทันตแพทย์จะถอดเครื่องมือจัดฟันออก

ใส่รีเทนเนอร์ (Retainer): เด็กจะต้องใส่ รีเทนเนอร์ เพื่อยึดฟันให้อยู่ในตำแหน่งใหม่ ป้องกันการเคลื่อนกลับ (Relapse) ซึ่งอาจเป็นรีเทนเนอร์แบบถอดได้ หรือแบบติดแน่น (ลวดติดด้านในฟัน)

ติดตามผล: นัดหมายเพื่อตรวจรีเทนเนอร์และการคงสภาพฟันตามระยะที่กำหนด (มักจะทุก 3, 6, 12 เดือน)

5
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งตับ (Liver cancer)

มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้ชายไทย และพบมากเป็นอันดับที่ 2-3 ของโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้หญิงไทย มักเกิดในคนอายุ 30-70 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2-3 เท่า

ในบ้านเรา แบ่งมะเร็งตับออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1. มะเร็งเซลล์ตับ (hepatoma/hepatocellular carcinoma/HCC) หมายถึง มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่อยู่ในเนื้อตับ พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ มักพบในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี (ทั้งที่เป็นพาหะและผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง) ผู้ป่วยตับแข็ง ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งเซลล์ตับ

2. มะเร็งท่อน้ำดี (cholangiocarcinoma/CCC) หมายถึง มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุภายในท่อน้ำดีส่วนที่อยู่ภายในตับ (biliary tree) พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่พบมากที่สุดทางภาคอีสาน* เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้มักพบร่วมกับโรคพยาธิใบไม้ตับ

*ประชาชนในภาคอีสานจะคุ้นเคยกับโรคนี้ อันเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคพยาธิใบไม้ตับเป็นอย่างดี และเนื่องจากผู้ป่วยมีอาการตับโตเป็นสำคัญ จึงนิยมเรียกว่า โรคตับโต

สาเหตุ

มะเร็งเซลล์ตับ สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่าส่วนใหญ่มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี ตับแข็ง และการดื่มแอลกอฮอล์จัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารอะฟลาท็อกซิน (afla toxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อราที่มีชื่อว่า Aspergillus flavus และพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง (โดยเฉพาะถั่วลิสงบด) ข้าวโพด ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ พริกแห้ง หัวหอม กระเทียม องุ่นแห้ง ปลาตากแห้ง มันสำปะหลัง แหนม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ เป็นต้น เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นตัวเสริมให้เกิดมะเร็งเซลล์ตับในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งเซลล์ตับ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ภาวะไขมันสะสมในตับหรือไขมันเกาะตับ (fatty liver) การสูบบุหรี่ การได้รับฮอร์โมนเพศชายเป็นเวลานาน การได้รับสารเคมีอันตรายจากยากำจัดวัชพืช เป็นต้น

มะเร็งท่อน้ำดี สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคพยาธิใบไม้ตับ (ซึ่งเกิดจากการกินปลาน้ำจืดแบบดิบ ๆ) การกินอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (nitrosamine) ซึ่งเป็นสารพิษที่พบในอาหารพวกโปรตีนหมัก (เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม เป็นต้น) อาหารพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว (เช่น กุนเชียง ไส้กรอก เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น) และอาหารรมควัน (เช่น ปลารมควัน ไส้กรอกรมควัน)

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดี เช่น ตับแข็ง ตับอักเสบจากไวรัส ภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง นิ่วในท่อน้ำดี ท่อน้ำดีโป่งพอง ความผิดปกติของระบบทางเดินน้ำดีโดยกำเนิด โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคอ้วน เบาหวาน การสูบบุหรี่ การบริโภคแอลกอฮอล์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การมีปัจจัยเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งเสมอไป กล่าวคือผู้ที่เป็นมะเร็ง อาจไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจนหรือมีเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลาย ๆ คนก็ไม่ได้กลายเป็นมะเร็งตามมา

อาการ

ในระยะแรกจะไม่แสดงอาการใด ๆ (ยกเว้นในรายที่เป็นตับแข็งอยู่ก่อน ก็จะมีอาการของโรคตับแข็ง) เมื่อก้อนมะเร็งลุกลามมากขึ้น จึงเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด จุกเสียดท้อง คล้ายอาการอาหารไม่ย่อย บางรายอาจมีอาการปวดหรือเสียวชายโครงขวาโดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจนก็ได้อาการเหล่านี้มักเป็นอยู่เป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน โดยผู้ป่วยอาจไม่ได้ใส่ใจ หรือคิดว่าเป็นอาการปวดยอกชายโครงหรืออาหารไม่ย่อย

เมื่อก้อนมะเร็งโตมากขึ้น ก็จะมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น รู้สึกแน่นอึดอัดที่บริเวณลิ้นปี่ทั้งวัน มีอาการปวดใต้ชายโครงขวา ซึ่งอาจปวดร้าวไปที่ไหล่ขวาหรือใต้สะบักด้านขวา ผู้ป่วยจะเบื่ออาหารมากขึ้น และน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วจนคนใกล้ชิดรู้สึกผิดสังเกต 

บางรายอาจมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม อาจคลำได้ก้อนที่ใต้ชายโครงขวา ท้องบวม หรือเท้าบวมทั้ง 2 ข้าง อาจมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย

ในรายที่มีภาวะอุดกั้นของทางเดินน้ำดี (มักพบในโรคมะเร็งท่อน้ำดี) ผู้ป่วยจะมีอาการตาและตัวเหลืองจัด คันตามตัว อุจจาระสีซีดขาว

ในรายที่มีภาวะตับแข็งระยะท้ายร่วมด้วย อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด

ภาวะแทรกซ้อน

มะเร็งตับอาจแพร่กระจายไปทั่วท้องและอวัยวะต่าง ๆ ทำให้มีอาการเจ็บปวดรุนแรง หายใจลำบาก และอาการผิดปกติของอวัยวะที่มะเร็งแพร่กระจายไป เช่น ปวดกระดูกสันหลัง อาการผิดปกติทางสมอง เป็นต้น

อาจมีการแตกของก้อนมะเร็ง (ทำให้มีเลือดออกในช่องท้อง) หรือเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากตับถูกทำลายไม่สามารถผลิตกลูโคสออกมาในกระแสเลือดได้

ในรายที่มีตับแข็งร่วมด้วย ก็มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคตับแข็งร่วมด้วย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจพบตับโต (คลำได้ก้อนแข็ง ผิวขรุขระที่บริเวณใต้ชายโครงขวา) อาจพบอาการท้องมาน (มีน้ำในท้อง) เท้าบวม 2 ข้าง รูปร่างผอม ดีซ่าน หรือไข้ต่ำ ๆ

ในรายที่มีโรคตับแข็งร่วมด้วย มักตรวจพบฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม

แพทย์จะวินิจฉัยให้ชัดเจนโดยการตรวจเลือด (พบระดับของสารแอลฟาฟีโตโปรตีนในเลือดสูง) และทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น การตรวจอัลตราซาวนด์ การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การสแกนตับ การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน การส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography/ERCP) การตรวจชิ้นเนื้อตับ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบว่าเป็นมะเร็งตับระยะแรก (เช่น ตรวจกรองพบโรคนี้ในกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่มีอาการ) ก็อาจรักษาด้วยการผ่าตัดนำก้อนมะเร็งออก หรือทำการปลูกถ่ายตับ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวหรือหายขาดได้

2. ถ้าพบมะเร็งตับระยะท้าย (ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่ตรวจพบเมื่อปรากฏอาการชัดเจนแล้ว) มักจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ หากปล่อยไว้อาจเสียชีวิตภายใน 6 เดือนถึง 1 ปีโดยเฉลี่ย บางรายอาจอยู่ได้นานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ปฏิบัติตัวดูแลตนเองดี 

สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเซลล์ตับ แพทย์อาจทำการรักษาเพื่อหยุดยั้งมะเร็ง เช่น การให้เคมีบำบัด การฉายรังสี การฉีดยาฆ่ามะเร็งและสารอุดตันเข้าหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งให้ก้อนยุบลง (transarterial chemoembolization/TACE และ transcatheter oily chemoembolization/TOCE) การฉีดแอลกอฮอล์เข้าก้อนมะเร็งโดยผ่านทางผิวหนัง (percutaneous ethanol injection/PEI), การฆ่าเซลล์มะเร็งด้วยความร้อนจากพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (radiofrequency ablation), อิมมูนบำบัด (immunotherapy) ฮอร์โมนบำบัด (hormone therapy) เป็นต้น

นอกจากนี้ จะให้การรักษาตามอาการและการรักษาแบบประคับประคองเพื่อให้ลดอันตรายและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น ให้ยาบรรเทาปวด ให้เลือด (ถ้ามีเลือดออก) เป็นต้น

สำหรับผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี ที่มีภาวะอุดกั้นของทางเดินน้ำดี แพทย์อาจทำการผ่าตัดใส่ท่อระบายน้ำดี เพื่อบรรเทาอาการคันและดีซ่าน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อ่อนเพลีย น้ำหนักลดฮวบ ปวดเสียดใต้ชายโครงขวา ท้องบวม หรือ คลำได้ก้อนแข็งที่ใต้ชายโครงขวา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์จัด เพราะอาจทำให้ตับแข็งซึ่งกลายเป็นมะเร็งตับได้ ถ้าตรวจพบพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี ควรงดดื่มโดยเด็ดขาด

2. ไม่สูบบุหรี่

3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

4. ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ ๆ

5. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีสารอะฟลาท็อกซิน เช่น ถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง หัวหอม กระเทียมที่ขึ้นรา สารนี้มีความทนต่อความร้อน ไม่ถูกทำลายแม้จะปรุงด้วยความร้อน

6. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีสารไนโตรซามีน เช่น อาหารโปรตีนหมักดอง รมควัน หรือเนื้อสัตว์ที่ ผสมดินประสิว หากจะกินควรทำให้สุกเพื่อทำลายสารนี้เสียก่อน

7. หาทางป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ทางเลือดหรือทางเพศสัมพันธ์ และควรตรวจเช็กสุขภาพโดยการตรวจเลือด ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรทำการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันโรคตับแข็งและมะเร็งตับ

8. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบีตั้งแต่แรกเกิด หรือในกรณีที่ตรวจไม่พบการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้

9. ถ้าตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ ควรรักษาให้หายขาด และงดกินปลาน้ำจืดแบบดิบ ๆ อย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ซ้ำซาก

ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ สามารถตรวจหามะเร็งเซลล์ตับในระยะแรกเริ่มได้ โดยการเจาะเลือดตรวจหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (alpha-fetoprotein) ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูง เช่น ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ผู้ป่วยตับอักเสบจากไวรัสชนิดบีหรือซีเรื้อรัง หรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ แพทย์จะแนะนำให้หมั่นตรวจเลือดหาสารนี้และตรวจอัลตราซาวนด์เป็นระยะ ๆ (ทุก 3-6 เดือน) อาจช่วยให้มีทางตรวจพบมะเร็งระยะแรกเริ่มได้

2. สำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับระยะท้าย แม้ว่าจะไม่สามารถให้การรักษาให้หาย ก็ควรได้รับการดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ ญาติควรให้กำลังใจผู้ป่วยและส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี อาจช่วยให้มีชีวิตยืนยาวได้มากขึ้น

6
รถกระบะรับจ้างขนของปทุมธานี กับมีวิธีรับมือน้ำมันราคาแพงอย่างไร

การให้บริการรถรับจ้างปทุมธานี ที่ให้บริการรับขนย้ายของทุกชนิด ขนย้ายราคาถูก มีให้บริการทั้งรถกระบะรับจ้างปทุมธานี รถ 6 ล้อรับจ้างจังหวัดปทุมธานี ดังนั้นในการขนย้ายแต่ละครั้งก็มีผลเป็นอย่างมากสำหรับในด้านของ น้ำมันเพราะน้ำมันมีการผันผวนเป็นอย่างมากตั้งแต่ระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา น้ำมันมีการปรับขึ้นอยู่ตลอดเวลาแต่การให้บริการรถรับจ้างขนของปทุมธานี ไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใดแต่เป็นการปรับราคาลดลงเพราะช่วยเหลือลูกค้า ในช่วงของยุคโควิด ดังนั้นสำหรับราคาน้ำมันในช่วงนี้ก็มีการปรับตัวลงมามากกว่า 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอาจจะใกล้แต่ระดับต่ำที่สุดของรอบหลายเดือนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นเองโดยได้รับแรงกดดันจากความคืบหน้าในการเจรจาล่าสุดเพื่อที่จะรื้อฟื้น

ข้อตกลงของระบบนิวเคลียร์อิหร่านซึ่งจะทำให้เซฮาลานั้นมีความสามารถที่จะกระตุ้นการส่งออกเข้าสู่ตลาดและมีความตึงตัวได้เป็นที่สุด เพราะที่ผ่านมานั้นมีการเจรจาว่าหลายเดือนก็ยังไม่ได้มีข้อตกลงแต่อย่างไรและการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านนั้นก็มีข้อตกลงเกี่ยวกับเรือบรรทุกที่สามารถกำหนดไว้ที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน


ติดต่อสอบถามการใช้บริการรถรับจ้างขนของปทุมธานีราคาถูก บริการแบบกันเองสามารถติดต่อได้ทันทีที่เบอร์โทรนี้นะค่ะ

ดังนั้นข้อดังกล่าวอาจทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นอย่างมากตามการรายงานของรอยเตอร์ราคาน้ำมันนั้นก็มีการพุ่งสูงขึ้นมาเมื่อต้นปีเนื่องจากการรุกรานของยูเครนและมีผลกระทบต่อทั่วโลกน้ำมันมีการผันผวนและทำให้มีข้าวของแพงขึ้นมีการปรับราคาขึ้นทุกประเภทแต่การให้บริการ รถรับจ้างปทุมธานีราคาถูก อาจจะว่าจ้างจากกรุงเทพฯไปยังต่างจังหวัดต่างๆที่ทุกท่านเคยได้อยู่อาศัยกัน

เพราะลูกค้าบางท่านไม่สามารถที่จะอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลได้เพราะเนื่องจากมูลค่าหรือค่าครองชีพมีราคาสูงและจำเป็นที่จะต้องกลับบ้านเกิดบางคนก็ ต้องการขนย้ายบ้าน ขนย้ายห้อง หรือขนย้ายหอ บางคนก็ยังคงดำเนินการทำธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่งไม้เก่าหรือค้าขายไม้เก่าตลอดจนขายพวกเฟอร์นิเจอร์

ทางเราก็ยินดีให้บริการรับจ้างขนย้ายของ ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ปทุมธานี หรือย้ายคอนโดทุกชนิดไม่ว่าจะขนย้ายเหล็กหรือลูกค้าต้องการที่จะว่าจ้างให้ขนย้ายคนงานทางเราก็พร้อมที่จะยินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่านตลอด 24 ชั่วโมงนั่นเองค่ะ ทำไมราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นถึงส่งผล มายังประเทศไทยทั้งๆที่ประเทศไทยไม่ได้มีการ ต่อต้านหรืออื่นๆแต่อย่างใด

อย่างอื่นต้องเรียนแจ้งให้ลูกค้าทุกท่านได้ทราบเลยว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจโลกในประเทศใดก็ตามก็จะมีการส่งผลมายังเมืองไทยด้วยเช่นกันเพราะการส่งออกในแต่ละพื้นที่หรือแต่ละประเทศก็ต้องยังคงเอื้อต่อการนำเข้าส่งออกของกันและกัน ไม่แปลกที่ราคาน้ำมันจะมีการปรับขึ้นปรับปรุงตามกระแสของประเทศนั่นเอง

แล้วการให้บริการรับจ้างคนยกจำเป็นที่จะต้องขึ้นค่าแรงไหมเมื่อเศรษฐกิจยุคนี้มีการปรับทุกอย่างขึ้น

 ในส่วนของการว่าจ้างหรือจ้างค่าแรงคนยกทางทีมงาน รถรับจ้างขนของปทุมธานี ขนย้ายสินค้าอย่างขนส่ง ไม่สามารถที่จะขึ้นราคาหรือเก็บเกินราคาได้เพราะการให้บริการรถรับจ้างขนของทางเราเน้นให้บริการด้วยความจริงใจให้บริการตามราคาความสมเหตุสมผลของการขนย้ายดังนั้นหากต้องการจ้างคนยกในการยกขนย้ายบ้านหรือยกเหล็กยกไม้เก่าทางเราก็พร้อมที่จะให้บริการรถรับจ้างขนของหรือบริการคนยกแก่ลูกค้า

โดยอัตราค่าจ้างเริ่มต้นที่ 150 บาทถึง 500 บาทขึ้นไปตามความเหมาะสมของหน้างานว่างานในแต่ละประเภทเป็นงานลักษณะ เล็กหรือลักษณะที่ค่อนข้างจะน้ำหนักเยอะและปริมาณเป็นหลักตันนั่นเองค่ะทั้งนี้การขนย้ายของเราก็พร้อมที่จะให้บริการลูกค้าแบบเร่งด่วน เมื่อต้องการที่จะขนย้ายของแบบทันทีทันใดสามารถติดต่อตลอดได้ 24 ชั่วโมง

ทางเรามีรถให้บริการรถรับจ้างขนของจังหวัดปทุมธานีที่ใกล้บ้านท่านเพราะการให้บริการรถรับจ้างขนของของเราจะกระจายอยู่ทุกพื้นที่ของจังหวัดปทุมธานีนั่นเองค่ะพร้อมใช้บริการหรือต้องการขนย้ายของด่วนปทุมธานีสามารถติดต่อได้ที่นี่ เพราะการให้บริการลูกค้าสามารถโทรสอบถามเช็คราคาเบื้องต้นหรือต้องการให้เราลองวางแผนในการขนย้ายสินค้าได้นะค่ะ เรายินดีที่จะให้คำปรึกษาหรือการวางแผนด้านงานขนย้ายฟรีไม่มีค่าบริการ แต่หากลูกค้าตกลงที่จะใช้บริการกับทีมงานรถรับจ้างขนของ พีชภูรีสามารถติดต่อได้ทันที

7
เด็กที่มีรูปหน้าสั้น แก้ไขด้วยการจัดฟันเด็กได้หรือไม่

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเด็กส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งการดูดนิ้วเป็นพัฒนาการปกติของเด็กเล็ก เป็นพฤติกรรมที่เด็กใช้ในการปลอบตนเองหรือเป็นการกระตุ้นตัวเอง สามารถพบภาวะนี้ได้ตั้งแต่ในครรภ์ วัยทารกพบภาวะดังกล่าวได้ถึงร้อยละ 80 ของเด็กทั้งหมด และจะลดลงจนเหลือประมาณร้อยละ 30-45 ในเด็กวัยก่อนเรียน อย่างไรก็ตาม การดูดนิ้วที่มากเกินไปในเด็กที่อายุมากกว่า 4 ปี อาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปัญหาช่องปากและฟัน การสบฟันผิดปกติ กระดูกใบหน้าเจริญผิดปกติหรือพูดไม่ชัด  ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความมั่นใจ และปัญหาในเรื่องขอสุขภาพช่อช่องปากและฟันในอนาคตได้

แต่ที่แน่นอนก็คือ พฤติกรรมดูดนิ้ว หรือดูดขวดนมในเด็กนั้น  ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันโดยตรง และยังส่งผลทำให้เด็กมีกระดูกใบหน้าที่เจริญเติบโตแบบผิดปกติด้วย ส่งผลให้เด็กอาจจะมีรูปหน้าสั้นได้ ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก จึงสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการจัดฟันในเด็กช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดียิ่งขึ้นได้ ในปัจจุบัน การจัดฟันได้มีการพัฒนาให้สามารถจัดฟันในเด็กได้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ4-10 ปี โดยการจัดฟันของเด็กในวัยนี้ เป็นการจัดฟันที่ใช้เครื่องมือการจัดฟันที่เรียกว่า EF LINE ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่จะมากน้อยตามแต่ช่วงอายุของเด็ก

ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต โดยเครื่องมือ EF LINE มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น

สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงปัญหาความผิดปกติของโครงสร้างของใบหน้าเด็ก ที่มีรูปหน้าสั้น อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมในวันเด็กที่ชอบดูดนิ้ว ดูขวดนมเป็นนิสัย ซึ่งปัญหาดังกล่าว ก็เป็นที่กังวลใของพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน ซึ่งการแก้ไขปัญหาที่พ่อแม่สามารถทำได้ก็คงจะเป็นเรื่องของการทำให้เด็กเลิกดูดนิ้ว ดูดขวดนม เป็นเวลานานซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถสอนให้เด็กใช้แก้วน้ำแทนการดูดขวดนมได้ แต่ถ้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ทัน

แน่นอนว่าเมื่อลูกมีโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว อย่างที่ทราบกันดีว่า การจัดฟันในเด็กด้วยเครื่องมือ EF LINE สามารถช่วยแก้ไขในเรื่องของปัญหาสุขภาพฟันในเด็กเล็กได้ และยังสามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างของใบหน้าของเด็กได้ด้วย เพราะเครื่องมือ EF LINE นั้น สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง   

เพราะฉะนั้นหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า จะต้องเข้ารับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เพราะกล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้น การเข้ารับการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อ ปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการปรับการกลืนให้ถูกต้อง ด้วยเครื่องมือ EF line จึงมีประสิทธิภาพมากยกตัวอย่างเช่น ปัญหาการกลืนที่ผิดปกติ

ในขณะกลืนผู้ป่วยจะยื่นลิ้นออกมาอยู่ระหว่างปลายฟันหน้าบนและล่าง ต้องพิจารณาจากขนาดของลิ้น โดยลิ้นอาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เนื่องจากโรคทางระบบและตำแหน่งของลิ้นในขณะพักตำแหน่งของลิ้นที่ปกติอาจเป็นผลจากขบวนการปรับตัว มักพบในคนไข้ภูมิแพ้ มีการอุดตันของช่องจมูก ขากรรไกรบนแคบมาก ความสูงของใบหน้ามากผิดปกติควรมาพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข ฟันหน้าห่าง การสบฟันหลังคร่อม การพูดออกเสียงไม่ชัด และเกิดการพัฒนาใบหน้าแนวดิ่งมากกว่าปกติ อาการเหล่านี้ถือว่าส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก ดังนั้น ถ้าเด็กมีความผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อทำการแก้ไข

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีหากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กต่อสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกไอดอลสมายเพราะคลินิกของเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์อย่างยาวนานจึงทำให้สามารถแนะนำหรือแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างถูกวิธี

นอกจากนี้ ทันตแพทย์ของเรายังสามารถช่วยประเมินปัญหาและแนะนำแนวทางการแก้ไขได้อย่างตรงจุด สามารถแนะนำวิธีการรักษาโดยยึดหลักปัญหาฟันของเด็กเพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เพราะเราอยากให้เด็กเด็กทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีบุคลิกภาพที่น่ารักสดใสสมวัย มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่เสริมสร้างพัฒนาการของเด็กและทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

8
รถรับจ้างย้ายบ้านจังหวัดอุดรธานี ขนย้ายทั่วไป ย้ายบ้าน สินค้าทุกชนิด กระบะ 6ล้อ 10ล้อรับจ้าง

อันดับแรกเราต้องขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจเรียกใช้บริการ รถรับจ้างจังหวัดอุดรธานี วันนี้เราพาลูกค้ามาเที่ยวค่ะมาเที่ยวชม สถานที่ต่างๆที่ลูกค้าอยากไปเราอยู่กับลูกค้าที่จังหวัดอุดรธานีค่ะถ้าลูกค้านั่งรถเที่ยวชมรอบเมืองอุดรหน่อยค่ะลูกค้าบอกว่าประทับใจ รถรับจ้างจังหวัดอุดรธานี มากที่มีบริการดีๆแบบนี้กับบริการ รถรับจ้าง ที่ทำให้ลูกค้าอยากเที่ยวได้ตลอดทั้งวันเพราะราคาไม่แพงเป็นกันเองแถมยังมีรถอีกมากมายให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการได้อย่างสบายตามที่ลูกค้าต้องการ

เราต้องขอขอบคุณทุกคำชมของลูกค้าที่มีให้เราเสมอมาและเราก็ต้องขอบคุณลูกค้าทุกท่านเช่นเดียวกันที่เรียกใช้บริการ รถรับจ้าง ที่ทำให้คุณลูกค้าไว้วางใจเลือกใช้บริการ รถรับจ้าง ของเราเท่านั้นยังไม่หมดเรายังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับลูกค้าของเราที่มาใช้บริการอีกด้วยเห็นมั้ยคะว่าบริการของเราไม่ธรรมดาจริงๆและราคาก็แสนจะธรรมดาเช่นกัน ลูกค้าทุกท่านมาเลยจ้า รถรับจ้างขนของ  เราพร้อมให้บริการลูกค้าทุกรูปแบบกันเลยทีเดียวไม่ว่าลูกค้าจะไปไหนต้องการรถอะไรเรามีพร้อมบริการลูกค้าทุกท่านเพียงแค่โทรมาหาเราเท่านั้นคุณลูกค้าก็จะได้ทุกความต้องการที่ทางเราจะสนองให้คุณลูกค้าอย่างเต็มที่กันเลยบริการของเรามีให้บริการตลอดทุกวัน แบบ Non Stop Service กันเลย โทรสอบถามราคากับเราได้เลย


มั่นใจทุกครั้ง ราคาถูกประหยัดแน่นอน

 ลูกค้าอาจสงสัยว่ารถก็มีพร้อมให้บริการแถมยังมีบริการดีๆแบบนี้เลยยังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษอีกคงสงสัยว่ารถได้มาตรฐานหรือเปล่าเราขอยืนยันเลยว่า รถรับจ้างขนของจังหวัดอุดรธานี รถเราได้มาตรฐานการรับรองเป็นอย่างดีเพราะรถทุกคันของเรานั้นได้ส่งเข้าตรวจ สภาพรถตลอดทั้งปีลูกค้าจึงเชื่อใจเราได้เลยว่าไม่ใช่รถเก่าๆพังๆที่จะให้บริการลูกค้าอย่างแน่นอนรถของเราสภาพดีทุกคันแถมคนขับรถเรายังมีความเชี่ยวชาญชำนาญในทุกๆเส้นทางปลอดภัยหายห่วงได้เลยค่ะเพราะพนักงานของเราทุกคนได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีด้วยการคัดเลือกพนักงานจากขนส่ง เองโดยตรงจากมือเรา

จุดบริการ รถรับจ้างขนของจังหวัดอุดรธานี ที่สำคัญๆในแต่ละจุดได้แก่

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอเมืองอุดรธานี

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอกุดจับ

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอหนองวัวซอ

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอกุมภวาปี

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอโนนสะอาด       

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอหนองหาน

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอทุ่งฝน

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอไชยวาน

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอศรีธาตุ

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอวังสามหมอ

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอบ้านดุง

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอบ้านผือ

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอน้ำโสม

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอเพ็ญ

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอสร้างคอม

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอหนองแสง

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอนายูง

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอพิบูลย์รักษ์

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอกู่แก้ว

รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายของทั่วไปของอำเภอประจักษ์ศิลปาคม

รถเรายังมีมากมายหลายแบบมาให้ลูกค้าเลือกใช้บริการ เช่น รถรับจ้างขนของ รถรับจ้างขนย้าย รถกระบะรับจ้างจังหวัดอุดรธานี รถขนของจังหวัดอุดรธานี รถขนของราคาถูกจังหวัดอุดรธานี รับจ้างทั่วไปจังหวัดอุดรธานี ที่ลูกค้าต้องการจะขนย้ายสิ่งของต่างๆและเรายังมีรถไว้ขนย้ายสิ่งของใหญ่ๆหรือพวกขนย้ายเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็น รถรับจ้างจังหวัดอุดรธานี รถเฮี้ยบรับจ้าง รถสิบล้อรับจ้าง รถเครนรับจ้าง รถเทรลเลอร์รับจ้าง รถบรรทุกรับจ้างจังหวัดอุดรธานี มีรถอีกมากมายที่ลูกค้าต้องการอยากจะเรียกใช้บริการหากลูกค้าท่านใดสนใจก็สามารถโทรหาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะเรามีบริการแบบจัดเต็มให้กับคุณลูกค้าที่มาใช้บริการ รถรับจ้าง ของขนส่งโทรหาเราเลยนะคะ

9
บริการทำความสะอาด: เคล็ดลับ ทำความสะอาดบ้านเสร็จไว ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

ถ้าคุณมีเวลาทำความสะอาดบ้านไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เทคนิคสำคัญคือ การจัดลำดับความสำคัญ และ ทำงานแบบต่อเนื่อง (Batching) เพื่อไม่ให้เสียเวลาเดินไปเดินมา ลองทำตามเคล็ดลับ "Speed Cleaning" นี้ดูนะคะ

เคล็ดลับ "Speed Cleaning" ทำบ้านให้เสร็จไวใน 1 ชั่วโมง

ช่วงที่ 1: การเตรียมพร้อมและเคลียร์ของ (0 - 10 นาที)

ตั้งเวลาและเปิดเพลง: ตั้งเวลา 60 นาที เพื่อสร้างความรู้สึกเร่งด่วน และเปิดเพลงที่เร้าใจเพื่อเพิ่มพลัง

เตรียมอุปกรณ์ใส่ตะกร้า: รวบรวมอุปกรณ์ทำความสะอาดที่จำเป็นทั้งหมด (ผ้าไมโครไฟเบอร์, น้ำยาอเนกประสงค์, น้ำยาเช็ดกระจก, น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ) ใส่ตะกร้าเดียว เพื่อให้เคลื่อนย้ายไปทำงานได้ทันที

เคลียร์ความรก (Declutter): เดินไปทั่วบ้านอย่างรวดเร็วเพื่อ เก็บสิ่งของที่อยู่ผิดที่ (เสื้อผ้า ของเล่น จาน ชาม) ใส่ตะกร้าใบใหญ่ชั่วคราว แล้ววางไว้ที่มุมห้องก่อน (ไม่ต้องจัดเก็บเข้าที่ตอนนี้)


ช่วงที่ 2: โจมตีห้องน้ำและห้องครัว (10 - 30 นาที)

ห้องเหล่านี้ต้องใช้เวลา เพราะต้องให้สารเคมีทำงาน ให้เริ่มที่นี่ก่อน แล้วไปทำงานอื่นขณะที่รอ

เริ่มงานห้องน้ำ (10 นาที):

ฉีดน้ำยา: เริ่มจากฉีดน้ำยาทำความสะอาดโถส้วม และฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อ/น้ำยาล้างห้องน้ำบนอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า และเคาน์เตอร์ ทิ้งไว้

เช็ดกระจก: ในขณะที่รอน้ำยาทำงาน ให้ใช้ผ้าเช็ดกระจกเงาและพื้นผิวที่ไม่เปียกน้ำ

ลุยห้องครัว (10 นาที):

จาน/อ่างล้างจาน: จัดการล้างจาน/ใส่จานเข้าเครื่องล้างจานให้เสร็จ เป้าหมายคืออ่างล้างจานต้องว่างและสะอาด

เช็ดเคาน์เตอร์: ใช้ผ้าชุบน้ำยาอเนกประสงค์ เช็ดทำความสะอาดเคาน์เตอร์ และพื้นผิวเตาอย่างรวดเร็ว (ไม่ต้องขัดคราบฝังแน่นในรอบนี้)


ช่วงที่ 3: ปัดฝุ่นและเช็ดพื้นผิว (30 - 45 นาที)

ปัดฝุ่นแบบมือโปร: ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือไม้ปัดฝุ่นแบบยืดหดได้ ทำงานจากบนลงล่างและจากซ้ายไปขวา เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเก็บฝุ่นได้ครบ (พัดลมเพดาน, ชั้นวางของ, โต๊ะกาแฟ, โต๊ะข้างเตียง)

จัดการห้องน้ำอีกครั้ง: กลับไป ขัดและล้างน้ำ ในส่วนที่ฉีดน้ำยาไว้เมื่อครู่ แล้วเช็ดพื้นให้แห้ง

เช็ดจุดสัมผัสบ่อย: ใช้ผ้าฆ่าเชื้อเช็ด ลูกบิดประตู สวิตช์ไฟ รีโมท และ ราวจับต่าง ๆ ทั่วทั้งบ้านอย่างรวดเร็ว


ช่วงที่ 4: เก็บกวาดพื้นและจบงาน (45 - 60 นาที)

เก็บงานพื้น:

ดูดฝุ่น/กวาด: ใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือไม้กวาดกวาดพื้นที่ใช้งานบ่อย (ห้องนั่งเล่น ทางเข้า ห้องครัว) เน้นบริเวณที่เห็นฝุ่นชัด ๆ

ถูพื้น: ถูพื้นผิวแข็งเฉพาะบริเวณที่จำเป็นหรือบริเวณที่มีคราบเหนียว

เก็บรายละเอียดห้องนอน: จัดเตียง ให้เรียบร้อย (การจัดเตียงทำให้ห้องดูสะอาดขึ้น 80%) และเก็บเสื้อผ้าที่อยู่ในตะกร้า (ที่เก็บมาจากขั้นตอนที่ 3) เข้าที่อย่างลวก ๆ (เช่น โยนใส่ตะกร้าผ้า)

นำขยะออก: เดินเก็บขยะจากถังทุกใบไปทิ้งหน้าบ้าน

ชื่นชมผลงาน: เมื่อนาฬิกาจับเวลาดังขึ้น หยุดทำงานทันที! บ้านของคุณอาจจะไม่ได้ "สะอาดล้ำลึก" แต่จะดู "สะอาดเรียบร้อย" และพร้อมรับแขกได้ทันที


เคล็ดลับเพิ่มเติม: การทำความสะอาดให้เสร็จไวที่สุดคือ การทำให้บ้านไม่สกปรกมากตั้งแต่แรก พยายามทำความสะอาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดงานใหญ่ในวันทำความสะอาดบ้านได้มากเลยค่ะ

10
หมอประจำบ้าน: ตาเข (Strabismus)

ตาเข (ตาเหล่ ตาเอก ก็เรียก) คือ อาการที่ตา 2 ข้างไม่อยู่แนวตรง ตาดำข้างใดข้างหนึ่งมีการเข (เฉียง) เข้าด้านใน (ทางหัวตา) เขออกด้านนอก (ทางหางตา) เฉียงขึ้น หรือเฉียงลง เนื่องจากมีภาวะผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวลูกตา ทำให้การเคลื่อนไหวลูกตาทั้ง 2 ข้างขาดการประสานงานเช่นคนปกติ (คนปกติจะเคลื่อนไหวลูกตาในลักษณะที่ประสานสอดคล้องกัน เพื่อให้มองเห็นภาพเป็น 3 มิติ โดยมีสมองเป็นตัวสั่งการมาที่กล้ามเนื้อกลอกลูกตาทั้ง 2 ข้าง)

โรคนี้พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก แต่ก็อาจพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ได้


สาเหตุ

1. ในทารกแรกเกิด สายตายังเจริญไม่เต็มที่ อาจมีอาการตาเขได้บ้าง แต่ถ้าอายุเลย 6 เดือนไปแล้วยังมีอาการตาเขอยู่อีกก็ถือว่าผิดปกติ เรียกว่าตาเขแต่กำเนิด (congenital strabismus) ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และพบว่าสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

นอกจากนี้ในอาการตาเขในเด็กยังอาจมีสาเหตุจากสายตาผิดปกติ (เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง) หรือเกิดจากโรคต่าง ๆ เช่น สมองพิการ (cerebral palsy) กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome) ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) มะเร็งลูกตาในเด็ก เป็นต้น

2. ถ้าอาการตาเขเกิดขึ้นในภายหลังเมื่อพ้นวัยเด็กเล็ก มักจะเกิดจากกล้ามเนื้อกลอกลูกตาเป็นอัมพาตจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุ ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เนื้องอกสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) คอพอกเป็นพิษ (โรคเกรฟส์ที่มีอาการตาโปน) ไมแอสทีเนียเกรวิส ทริคิโนซิส โบทูลิซึม เป็นต้น


อาการ

ถ้าเป็นมาตั้งแต่กำเนิด เด็กมักจะไม่มีอาการอะไรนอกจากตาเข แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบแก้ไข ตาข้างที่เขจะมีสายตาพิการได้ ทั้งนี้เพราะเด็กจะไม่ใช้ตาข้างนั้นในการมอง (เพื่อหลีกเลี่ยงการเห็นภาพซ้อน โดยใช้ตาข้างที่ดีเพียงข้างเดียว) เมื่อไม่ใช้ตาข้างนั้นนาน ๆ เข้า สายตาก็จะเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ จนตาบอดในที่สุด เรียกภาวะนี้ว่า ตาขี้เกียจ (lazy eye/amblyopia)

ในรายที่เป็นตาเขตอนโต มักจะมีอาการเห็นภาพ 2 ภาพ (เห็นภาพซ้อน) หรืออาการตาล้าร่วมด้วย และอาจมีอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ในเด็กเล็กอาจตาข้างที่ผิดปกติเกิดภาวะตาขี้เกียจ (lazy eye/amblyopia) ทำให้ตาบอดได้

เด็กที่มีอาการตาเขอาจรู้สึกอับอาย เป็นปมด้อยในใจได้

ในผู้ใหญ่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตาเข


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ รวมทั้งการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน

ในผู้ใหญ่อาจต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อค้นหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบอาการตาเขเป็นครั้งคราวในทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน จะเฝ้าติดตามดูอาการไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีสาเหตุที่ผิดปกติ ก็มักจะหายได้เองเมื่ออายุได้ 6 เดือน ถ้าอายุพ้น 6 เดือนแล้วยังไม่หาย แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ

2. ถ้าทารกมีอาการตาเขตลอดเวลา หรือพบในเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน แพทย์จะให้ผู้ป่วยฝึกการใช้ตาข้างที่เข โดยการปิดตาข้างที่ดีด้วยการใส่ที่ครอบตาวันละหลายชั่วโมง เพื่อช่วยกระตุ้นให้ตาอีกข้างที่เกิดตาขี้เกียจได้ทำหน้าที่บ้าง ทำติดต่อนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน

นอกจากนี้แพทย์จะแนะนำการบริหารตา ซึ่งเป็นการฝึกกล้ามเนื้อที่ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตา เพื่อช่วยให้ตาทั้ง 2 ข้างทำงานประสานงานกันได้ดี

ถ้ามีภาวะสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ก็จะตัดแว่นตาใส่ การรักษาโดยวิธีดังกล่าวอาจช่วยให้เด็กบางคนหายตาเขได้ภายในไม่กี่เดือน

ถ้าตาเขมาก หรือรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล อาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด

การรักษาอาการตาเขและตาขี้เกียจดังกล่าว ควรกระทำก่อนเด็กอายุได้ 3-5 ปี จะทำให้การมองเห็นกลับคืนสู่ปกติได้สูง ถ้าทำในช่วงอายุ 5-7 ปี อาการตาขี้เกียจต้องใช้เวลารักษานานขึ้น และถ้าทำเมื่ออายุมากกว่า 7 ปี การรักษาตาขี้เกียจมักไม่ค่อยได้ผล เพราะหลังวัยนี้ไปแล้ว ตาข้างที่เขอาจมีสายตาพิการอย่างถาวรจนยากที่จะแก้ไขได้

3. ถ้าพบอาการตาเขในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่สงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ ส่วนใหญ่ภายหลังการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุให้หายแล้ว อาการตาเขมักจะหายได้ แต่ถ้าไม่หายอาจต้องใส่แว่น หรือทำการแก้ไขด้วยการฉีดสารโบทูลิน (โบท็อกซ์) หรือการผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากสงสัยมีอาการตาเข ตาเหล่ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นตาเข ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    สายตามีความผิดปกติมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
    มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
    สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น


การป้องกัน

อาการตาเขโดยกำเนิดซึ่งไม่ทราบสาเหตุยังไม่มีวิธีป้องกัน

ส่วนอาการตาเขที่เกิดจากสายตาผิดปกติ หรือสาเหตุอื่น ๆ อาจป้องกันหรือรักษาอาการตาเขได้ด้วยการป้องกันหรือแก้ไขสาเหตุที่ทำให้ตาเข เช่น ใส่แว่นสายตา การป้องกันการบาดเจ็บที่ตาและสมอง การควบคุมโรคที่เป็นอยู่ (เช่น เบาหวาน คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น)


ข้อแนะนำ

1. ทารกทุกคนควรได้รับการตรวจกรองอาการตาเขเป็นระยะ ตั้งแต่อายุได้ 2-3 เดือน

2. อาการตาเขที่พบในทารกและเด็กเล็ก ควรนึกไว้เสมอว่า อาจมีสาเหตุผิดปกติซ่อนเร้นอยู่ และควรได้รับการรักษาก่อนอายุ 3-5 ปี อย่าเข้าใจผิดว่าโตขึ้นจะหายได้เอง มิเช่นนั้น เด็กอาจตาเขและสายตาพิการอย่างถาวรได้

11
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


12
ไอเดียง่าย ๆ แต่งห้องมินิมอลและการเลือกของตกแต่งบ้าน

การแต่งห้องสไตล์ มินิมอล (Minimalist) คือการสร้างสรรค์พื้นที่ที่เรียบง่าย สะอาดตา และเน้นฟังก์ชันการใช้งานเป็นหลักค่ะ เป็นสไตล์ที่ตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป คงไว้ซึ่งความสงบและโปร่งสบาย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความไม่ซับซ้อนและต้องการพื้นที่ที่ช่วยให้จิตใจสงบ ลองมาดูไอเดียง่ายๆ ในการแต่งห้องและเลือกของตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลกันค่ะ

หลักการสำคัญของสไตล์มินิมอล

น้อยแต่มาก (Less is More): เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งเท่าที่จำเป็นจริงๆ แต่เน้นคุณภาพและดีไซน์

ฟังก์ชันต้องมาก่อน (Form Follows Function): ทุกชิ้นต้องมีประโยชน์ใช้สอย ไม่ใช่แค่สวยงามอย่างเดียว

ความสะอาดและเป็นระเบียบ: ห้องมินิมอลต้องจัดระเบียบอยู่เสมอ ไม่มีของวางเกะกะ

โทนสีเรียบง่าย: เน้นสีกลางๆ เป็นหลัก


ไอเดียง่ายๆ ในการแต่งห้องสไตล์มินิมอล

1. โทนสี
สีหลัก: ใช้สีขาวเป็นสีหลักสำหรับผนังและเพดาน เพื่อให้ห้องดูกว้างขวาง สว่าง และสะอาดตา

สีรอง: เพิ่มความอบอุ่นด้วยสีกลางๆ เช่น สีเบจ ครีม เทาอ่อน หรือ สีไม้ธรรมชาติ สำหรับเฟอร์นิเจอร์หลักๆ

สีเน้น (Accent Color): อาจมีสีเข้มหรือสีพาสเทลเล็กน้อยสำหรับของตกแต่งชิ้นเล็กๆ เพื่อไม่ให้ห้องดูจืดชืดเกินไป แต่ควรเป็นสีที่ไม่ฉูดฉาด

2. เฟอร์นิเจอร์
เลือกชิ้นที่จำเป็น: เช่น เตียง โซฟา โต๊ะทำงาน ชั้นวางของเท่าที่จำเป็น

เน้นดีไซน์เรียบง่าย: เฟอร์นิเจอร์ควรมีรูปทรงเรขาคณิต เส้นสายสะอาดตา ไม่มีลวดลายแกะสลักหรือตกแต่งเยอะ

วัสดุธรรมชาติ: เน้นวัสดุอย่าง ไม้เนื้ออ่อน (เช่น ไม้โอ๊ค เมเปิล) โลหะสีดำ/ขาว หรือผ้าฝ้าย

มีฟังก์ชันซ่อนเร้น: เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชันการจัดเก็บในตัว เช่น เตียงที่มีลิ้นชัก โต๊ะกลางที่มีช่องเก็บของ เพื่อซ่อนสิ่งของไม่ให้รกตา

3. การจัดวาง
เว้นพื้นที่ว่าง: การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ควรเหลือพื้นที่ว่างรอบๆ เพื่อให้ห้องดูโปร่ง โล่งสบาย ไม่แน่นทึบ

จัดระเบียบ: เก็บของให้เข้าที่เข้าทางอยู่เสมอ อาจใช้กล่องเก็บของสวยๆ หรือลิ้นชักสำหรับซ่อนของ

4. แสงสว่าง
แสงธรรมชาติ: พยายามให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้องให้มากที่สุด อาจใช้ผ้าม่านโปร่งแสงสีอ่อนๆ

โคมไฟ: เลือกโคมไฟที่มีดีไซน์เรียบง่าย ทันสมัย หรือสไตล์สแกนดิเนเวีย ให้แสงสีวอร์มไวท์ (Warm White) เพื่อเพิ่มความอบอุ่น


การเลือกของตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอล

ของตกแต่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเติมเต็มห้องมินิมอลให้มีชีวิตชีวา แต่ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันค่ะ


1. แจกันเซรามิก

ทำไมถึงใช่: แจกันเป็นของตกแต่งที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สามารถเติมชีวิตชีวาด้วยดอกไม้หรือกิ่งไม้สวยๆ

เคล็ดลับการเลือก:

รูปทรง: เน้นรูปทรงเรขาคณิต เช่น ทรงกระบอก ทรงกลม หรือรูปทรงที่เรียบง่าย โค้งมน ไม่ซับซ้อน

สี: สีขาว สีดำ สีเทา สีเบจ หรือสีเอิร์ธโทน จะเข้ากับสไตล์มินิมอลได้ดีเยี่ยม

พื้นผิว: ผิวด้าน (matte) จะให้ความรู้สึกอบอุ่นและทันสมัย หรือผิวมันเงาเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหรูหรา


2. ต้นไม้มงคล/ต้นไม้ฟอกอากาศ

ทำไมถึงใช่: ช่วยเพิ่มสีเขียวและความสดชื่นให้กับห้อง สร้างความผ่อนคลายและเชื่อมโยงกับธรรมชาติ

เคล็ดลับการเลือก:

ชนิด: เลือกต้นไม้ที่ดูแลง่าย เช่น ลิ้นมังกร ยางอินเดีย มอนสเตอร่า พลูด่าง กวักมรกต

กระถาง: ใส่ในกระถางเซรามิกสีขาว เทา ดำ หรือกระถางดินเผาเรียบๆ ไม่มีลวดลายเยอะ


3. กรอบรูป/งานศิลปะเรียบง่าย

ทำไมถึงใช่: เป็นจุดดึงดูดสายตาและเพิ่มความเป็นตัวตนให้กับห้อง

เคล็ดลับการเลือก:

รูปภาพ: เลือกภาพวิวทิวทัศน์ ภาพ Abstract หรือภาพถ่ายขาวดำ ที่มีองค์ประกอบไม่เยอะ

กรอบ: กรอบไม้สีอ่อน กรอบโลหะสีดำ/ขาว หรือกรอบแบบบาง เพื่อไม่ให้แย่งซีนตัวภาพ


4. ผ้าตกแต่ง (หมอนอิง/ผ้าคลุม)

ทำไมถึงใช่: ช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ ความอบอุ่น และความน่าสนใจให้กับโซฟาหรือเตียง

เคล็ดลับการเลือก:

สี: เลือกสีพื้น หรือสีเอิร์ธโทนที่กลมกลืนกับเฟอร์นิเจอร์

วัสดุ: ผ้าฝ้าย ลินิน หรือผ้าถักไหมพรม ที่มีผิวสัมผัสเป็นธรรมชาติ


5. เทียนหอม/ก้านหอมปรับอากาศ

ทำไมถึงใช่: ไม่เพียงแต่ให้กลิ่นหอม แต่ยังเป็นของตกแต่งที่สวยงาม ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย

เคล็ดลับการเลือก:

กลิ่น: เลือกกลิ่นที่อ่อนโยน สดชื่น หรือกลิ่นธรรมชาติ เช่น ชาขาว ลาเวนเดอร์ ยูคาลิปตัส กลิ่นไม้จันทน์

บรรจุภัณฑ์: เลือกแบบที่เรียบง่าย ขวดแก้วใส หรือภาชนะเซรามิก

ข้อควรจำสำหรับสไตล์มินิมอล
ทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็น: ลองสำรวจดูว่ามีของอะไรที่คุณไม่ใช้แล้ว หรือมีซ้ำๆ กันหลายชิ้นหรือไม่ การกำจัดสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ห้องดูสะอาดตาขึ้นมาก

ทุกสิ่งมีที่อยู่: กำหนดที่เก็บของแต่ละชิ้นให้ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บและไม่วางเกะกะ

แสงและเงา: ใช้แสงธรรมชาติและแสงจากโคมไฟมาสร้างมิติให้กับห้อง

ความสมดุล: แม้จะเรียบง่าย แต่ก็ต้องคำนึงถึงความสมดุลในการจัดวาง เพื่อไม่ให้ห้องดูน่าเบื่อ

การแต่งห้องสไตล์มินิมอลไม่ได้หมายความว่าต้องไม่มีของตกแต่งเลย แต่เป็นการเลือกสรรของที่มีคุณค่า มีความหมาย และใช้งานได้จริง มาจัดวางอย่างเรียบง่าย เพื่อสร้างพื้นที่ที่สงบและเป็นระเบียบค่ะ ขอให้สนุกกับการแต่งบ้านนะคะ!

13
หมอประจำบ้าน: กลากน้ำนม (Pityriasis alba)

กลากน้ำนม เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อย พบมากในช่วงอายุ 3-16 ปี และพบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เด็กที่มีอายุน้อยกว่านี้และผู้ใหญ่ก็อาจเป็นโรคนี้ได้

มักพบบ่อยในผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ และถือว่ากลากน้ำนมเป็นอาการแสดงรูปแบบหนึ่งของโรคนี้

อาการมักจะเป็นมากในหน้าร้อน หรือหลังตากแดดตากลม

สาเหตุ

เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ที่ชั้นหนังกำพร้าไม่สามารถสร้างเม็ดสี (pigment) ได้ตามปกติ ทำให้ผิวหนังในส่วนนั้นกลายเป็นรอยด่างขาว แต่สาเหตุที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีเกิดความผิดปกติยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การขาดอาหาร แพ้ลม หรือแพ้แดด

บางรายอาจพบร่วมกับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ


อาการ

แรกเริ่มจะเกิดเป็นจุดแดงเล็ก ๆ ก่อน แล้วแผ่ขยายเป็นวงแดงจาง ๆ ขนาด 0.5-3 ซม. มีขุยบาง ๆ ต่อมาสีจะจางลงเป็นวงสีขาว ๆ ลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรี ขอบเขตไม่ชัดเจน และมีขุยบาง ๆ โดยมากจะไม่มีอาการคัน

ตำแหน่งที่พบได้บ่อย ได้แก่ บริเวณหน้า (รอบปาก แก้ม หรือหน้าผาก) บางรายอาจพบที่คอ ไหล่ และแขน

วงด่างขาวนี้มักเป็นอยู่นานเป็นแรมเดือนแรมปี หรือเป็น ๆ หาย ๆ จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะหายไปได้เอง


ภาวะแทรกซ้อน

มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร นอกจากความรู้สึกกังวลหรืออายที่มีรอยด่างขาวผิดไปจากคนปกติ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

หากไม่แน่ใจอาจทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อแยกจากสาเหตุอื่น เช่น เกลื้อน โรคด่างขาว


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการใช้ครีมบำรุงผิว หรือทาครีมสเตียรอยด์ เช่น ครีมไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์

แนะนำให้ใช้สบู่อ่อน (เช่น สบู่เหลว สบู่เด็ก) ในการล้างทำความสะอาดบริเวณที่เป็น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีวงสีขาวตามผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นกลากน้ำนม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาที่นอกเหนือจากที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำมาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาทาประเภทแสบร้อน อาจทำให้หน้าไหม้เกรียม หรือหนังแห้งเป็นผื่นดำได้

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์ 
    มีอาการลุกลาม หรือกำเริบใหม่
    ขาดยา หรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปใช้ต่อที่บ้าน ใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    ใช้สบู่อ่อน (เช่น สบู่เหลว สบู่เด็ก) ในการล้างทำความสะอาดร่างกาย
    ทาครีมบำรุงผิวอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
    หลีกเลี่ยงการออกกลางแดด ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ทายากันแดด

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้อาจเป็นเรื้อรัง หรือเป็น ๆ หาย ๆ นาน 1-2 ปี แต่ก็ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และไม่ติดต่อให้ผู้อื่น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะหายได้เอง

2. โรคนี้ต่างจากเกลื้อน ตรงที่เกลื้อนจะเกิดขึ้นที่หลัง คอ และหน้าอก และพบมากในคนหนุ่มสาวที่มีเหงื่อออกมาก แต่กลากน้ำนมจะเกิดมากที่ใบหน้าและไหล่ และพบมากในเด็กจนถึงวัยหนุ่มสาว

ถ้าใช้สเตียรอยด์ทาแล้วกลับลุกลามมากขึ้น ก็อาจเป็นเกลื้อน ควรหยุดยา แล้วให้ยารักษาเกลื้อนแทน

3. โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการกินนม แต่ที่เรียกว่ากลากน้ำนม เพราะว่ามักจะพบในระยะที่เด็กกินนม และลักษณะเหมือนน้ำนมแห้งติดอยู่ที่แก้ม

14
จัดฟันเด็กเสร็จแล้วฟันก็จะอยู่ในสภาพนั้นตลอดไปหรือไม่
 
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าปัญหาการเกิดฟันผุนั้น เกิดจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปากรวมตัวกับเศษอาหารและน้ำลายสะสมกันเป็นคราบเหนียว ที่เรียกว่า คราบฟัน หรือคราบแบคทีเรีย ซึ่งจะเกาะอยู่บนผิวของฟัน แบคทีเรียเหล่านี้จะเปลี่ยนสภาพน้ำตาลและแป้งให้เป็นกรด มีฤทธิ์ทำลายแร่ธาตุที่ผิวฟัน จนก่อให้เกิดเป็นรู โดยเริ่มจากขนาดเล็กๆ ลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคฟันผุ

ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดได้ในเด็กตั้งแต่อายุไม่ถึง 1 ปี หรือเริ่มมีฟันน้ำนมขึ้นเป็นซี่แรก เนื่องจากชั้นเคลือบฟันของฟันน้ำนมจะบางกว่าชั้นเคลือบฟันของฟันแท้ และยังมีแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของความแข็งแรง เช่น แคลเซียม และฟอสฟอรัสน้อยกว่าในฟันแท้อีกด้วย จึงทำให้ฟันน้ำนมมีโอกาสผุได้ง่ายมาก ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้ามเรื่องเล็กๆแบบนี้ไป เพราะอาจจะทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

ถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟัน ควรรีบพาไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข ซึ่งพ่อแม่หลายคนมองว่า การจัดฟันในเด็กนั้น ยังไม่มีความจำเป็น เพราะเด็กยังมีฟันน้ำนมอยู่และต่อไปก็ต้องมีฟันแท้ขึ้นมาอยู่ดี นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กมีปัญหาฟันผุจำนวนมาก และหลายคนก็สงสัยว่า การเขารับการจัดฟันในเด็ก จะสามารถทำให้เด็กมีฟันที่คงสภาพนี้ไปได้ตลอดไปหรือไม่ ซึ่งข้อนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนกังวล ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นจัดฟันในเด็กเสร็จแล้วฟันก็จะอยู่ในสภาพนั้นตลอดไปหรือไม่ เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานที่กำลังมีปัญหาฟันได้เข้าใจอย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น
 
การจัดฟันในเด็ก ถึงแม้ว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พฤติกรรมระหว่างการจัดฟัน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้เด็กมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติได้ ดังนั้น จึงเป็นบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะต้องคอยแนะนำและสอนให้เด็กมีความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน รวมไปถึงการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของทันตแพทย์

เพื่อที่ผลการรักษาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างแท้จริง เพราะการแก้ไขปัญหาฟันในเด็ก ถือว่าเป็นการรักษามีประสิทธิภาพในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากการรักษาไม่มีความซับซ้อน การจัดฟันในช่วงที่ฟันกำลังมีการพัฒนาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การรักษาไม่นุ่งยาก เหมือนกับการจัดฟันในวัยผู้ใหญ่ เพราะปัญหาฟันจะแก้ยากขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น

ในเรื่องของสภาพฟันหลังจากการจัดฟัน คนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันเสร็จแล้วก็จบกัน ไม่ต้องดูแลเหมือนตอนจัดฟัน ถือว่าเป้นความคิดที่ผิด เพราะคิดฟันจะเรียงตัวสวยอยู่สภาพนั้นไปตลอด ไม่เปลี่ยนแปลงไปอีกเลยตลอดกาล นี่เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ไม่เป็นจริง เพราะหลังจากที่เด็กเข้ารับการจัดฟันเสร็จแล้ว

โดยปกติฟันของเรายังสามารถมีการเคลื่อนที่อยู่ต่อไปได้อีก ดังนั้น สิ่งที่สำคัญหลังจากการจัดฟันก็คือ เด็กจะต้องจำเป็นจะต้องสวมใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันและรักษารูปแบบของฟันให้คงอยู่ดังเดิม และไม่ให้ฟันล้ม จนต้องกลับมาจัดฟันใหม่อีกครั้ง เพราะถ้าเด็กจะต้องเข้ารับการจัดฟันใหม่อีกครั้งในอนาคต นั่นถือว่า การจัดฟันในเด็กไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจจะมีผลมาจากการที่เราไม่ดูแลรักษาฟันให้ดี และละเลยเกี่ยวกับปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะคอยเตือนคอยแนะนำให้เด็กใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้มาก เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงามได้
 
ดังนั้น หากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟันหรือความผิดปกติที่เกี่ยวกับรูปร่างฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อให้เด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เด็ก มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อยได้ หากใครสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือเข้าตรวจฟันเบื้องต้น ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพื่อที่จะได้ให้เด็กมีสุขขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพฟัน และยังช่วยทำให้เด็กได้ทีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

15
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


หน้า: [1] 2 3 ... 59