ฟิลเลอร์ใต้ตา VS ผ่าตัดถุงใต้ตา: เลือกวิธีไหนดี? ปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย มีถุงใต้ตา หรือร่องลึกทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและแก่กว่าวัย เป็นเรื่องที่หลายคนกังวล ซึ่งสามารถแก้ไขได้ทั้งการ ฉีด
ฟิลเลอร์ใต้ตาและ การผ่าตัดถุงใต้ตา แต่วิธีไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่ากัน? มาดูการเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของทั้งสองวิธี เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยเติมเต็มร่องลึก ลดความหมองคล้ำ แก้ปัญหาเบ้าตาลึก ใต้ตาโหล ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ และทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูสดใสขึ้น วิธีนี้ได้รับความนิยมเพราะทำได้ง่าย ไม่ต้องผ่าตัด และเห็นผลเร็ว
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา- ไม่ต้องผ่าตัด – ไม่มีแผล ไม่มีรอยเย็บ ลดความเสี่ยงเรื่องแผลเป็น
- ใช้เวลาทำหัตถการไม่นาน – ฉีดเสร็จใน 15-30 นาที และสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้
- เห็นผลทันที – หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหลังทำทันที และอาการบวมมักจะหายไปภายใน 2-3 วัน
- สามารถปรับแต่งได้ – หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้โดยไม่ต้องรอให้หมดอายุ
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา- ผลลัพธ์ไม่ถาวร – ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายไปตามธรรมชาติ อายุเฉลี่ยของฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ที่ 6-12 เดือน และสามารถอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ยี่ห้อของฟิลเลอร์ และการดูแลหลังฉีด
- อาจเกิดผลข้างเคียงได้ – หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจเสี่ยงต่อการฉีดผิดตำแหน่ง หรือใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
การผ่าตัดถุงใต้ตาการผ่าตัดถุงใต้ตา เป็นวิธีศัลยกรรมที่ช่วยกำจัดถุงไขมันส่วนเกิน และแก้ไขผิวหนังหย่อนคล้อยใต้ตาอย่างถาวร เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาถุงใต้ตาชัดเจน และต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานหลายปี
ข้อดีของการผ่าตัดถุงใต้ตา- ผลลัพธ์ถาวร – แก้ไขปัญหาถุงใต้ตาได้อย่างถาวร หรืออยู่ได้นานหลายปี
- ช่วยปรับโครงสร้างใต้ตาให้ดีขึ้น – ไม่เพียงแค่ลดถุงใต้ตา แต่ยังช่วยให้ใต้ตาดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
ข้อเสียของการผ่าตัดถุงใต้ตา- ต้องเข้ารับการผ่าตัด – ต้องมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ หรือยาสลบในบางกรณี และมีแผลผ่าตัด
- ต้องใช้เวลาพักฟื้น – โดยปกติจะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ และต้องหลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วงแรก
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่า – การผ่าตัดถุงใต้ตามีราคาสูงกว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและควรเลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อป้องกันปัญหาหลังผ่าตัด
เปรียบเทียบชัด ๆ ฟิลเลอร์ใต้ตา vs ผ่าตัดถุงใต้ตา วิธีการทำ- ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เพื่อช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้ดูอิ่มฟูและสดใสขึ้น
- ผ่าตัดถุงใต้ตา เป็นการผ่าตัดเอาถุงไขมันส่วนเกินออก และกระชับผิวหนังใต้ตาเพื่อให้ดวงตาดูอ่อนเยาว์ขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้- ฟิลเลอร์ใต้ตา ให้ผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด ผิวใต้ตาจะดูเต็มขึ้น และรอยหมองคล้ำจางลง แต่ฟิลเลอร์จะสลายไปตามธรรมชาติในระยะเวลา 6-12 เดือน และสามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 12-18 เดือน
- ผ่าตัดถุงใต้ตา ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานหลายปี เพราะเป็นการกำจัดไขมันส่วนเกินออกอย่างถาวร
ระยะเวลาทำและการพักฟื้น- ฟิลเลอร์ใต้ตาใช้เวลาฉีดเพียง 15-30 นาที และแทบไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เลย
- ผ่าตัดถุงใต้ตา ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 1-2 ชั่วโมง และต้องพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้แผลหายสนิท
ค่าใช้จ่าย- ฟิลเลอร์ใต้ตามีราคาประมาณ 10,000 - 30,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์และคลินิกที่เลือก
- ผ่าตัดถุงใต้ตา มีราคาสูงกว่า โดยเริ่มต้นประมาณ 30,000 - 80,000 บาท เนื่องจากเป็นการรักษาที่ต้องใช้ศัลยแพทย์เฉพาะทาง
ใครเหมาะกับการรักษาวิธีไหน?การฉีด
ฟิลเลอร์ใต้ตา- คนที่มีร่องลึกใต้ตา เบ้าตาลึก ใต้ตาโหล หรือใต้ตาดูโทรมจากการสูญเสียไขมันใต้ผิว
- คนที่ต้องการแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องผ่าตัด
- คนที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และไม่ต้องพักฟื้น
การผ่าตัดถุงใต้ตา
- คนที่มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ หรือผิวหนังใต้ตาหย่อนคล้อยมาก
- คนที่ต้องการผลลัพธ์ที่ถาวร และไม่อยากฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อย ๆ
- คนที่มีเวลาพักฟื้น และพร้อมสำหรับการดูแลแผลหลังผ่าตัด
ควรเลือกวิธีไหนดีระหว่างฟิลเลอร์ใต้ตา VS ผ่าตัดถุงใต้ตา?- หากปัญหาหลักคือ ร่องลึกใต้ตา เบ้าตาลึก ใต้ตาโหล หรือใต้ตามีความหมองคล้ำ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นตัวเลือกที่สะดวกและเห็นผลเร็ว
- หากมี ถุงใต้ตาขนาดใหญ่หรือผิวหย่อนคล้อยมาก การ ผ่าตัดถุงใต้ตา จะให้ผลลัพธ์ที่ถาวรกว่า
ก่อนตัดสินใจ ควรเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจประเมิน และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาของคุณมากที่สุด